การจ้างงานสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง
ผลการประกาศข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ พบว่า รายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลประจำเดือนกันยายนออกมาแย่กว่าที่คาดที่ระดับ 156,000 ตำแหน่ง ซึ่งแย่ลงจากเดิมประมาณ 11,000 ตำแหน่ง ขณะที่มีการปรับทบทวนการจ้างงานในเดือน ส.ค. ขึ้นมาสู่ระดับ 167,000 ตำแหน่ง จาก 151,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานออกมาแย่ลงเกินคาดสู่ระดับ 5.0% เดิมที่ระดับ 4.9% ขณะที่อัตราค่าแรงโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นตามคาดสู่ระดับ 0.2%
ทั้งนี้อัตราว่างงานเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 5.0% เนื่องจากอัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงาน (Labor Participation Rate) ปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 62.9% จากเดิมที่ 62.8%ซึ่งบ่งชี้ถึงประชาชนสหรัฐฯกลับเข้ามาหางานทำมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจ
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯยังคงบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่ง แม้ว่าข้อมูลล่าสุดออกมาไม่ดีนัก เพราะได้รับแรงกดดันจากกลุ่มบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่อ่อนแอ รวมทั้งความต้องการสินค้าและบริการของสหรัฐฯในต่างประเทศชะลอตัวลง และหนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงสิ้นปีนี้ เช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์จากดอยซ์แบงก์ ประจำกรุงนิวยอร์ก ที่ยังคงมองว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้
ทั้งนี้รายงานการจ้างงานที่ประกาศเมื่อคืนนี้ถือเป็นรายงานจ้างงานตัวสุดท้ายก่อนที่เฟดจะเข้าสู่การประชุมในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน โดยนักลงทุนในตลาดประเมินว่าแทบไม่มีโอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเข้าใกล้วันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พ.ย.
ถ้อยแถลงสมาชิกเฟด
ในวันศุกร์ที่ผ่านมามีถ้อยแถลงของสมาชิกเฟด 4 รายได้แก่ นายสแตนลี่ ฟิชเชอร์ รองประธานเฟด (มีสิทธิออกเสียง), นางโลเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ (มีสิทธิออกเสียง), นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส (มีสิทธิออกเสียง) ซึ่งทั้งสามคนต่างกล่าวว่า ข้อมูลภาคแรงงานที่เผยออกมาในวันศุกร์นั้นเป็นข้อมูลที่ดีและช่วยให้เฟดสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามคาด ขณะที่นางลาเอล เบรนนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด (มีสิทธิออกเสียง) ได้กล่าวถึงเรื่องบล็อกเชน(Blockchain) และไม่ได้กล่าวถึงมุมมองต่ออัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นายสแตนลี่ ฟิชเชอร์ รองประธานเฟด (มีสิทธิออกเสียง) ระบุว่า การจ้างงานของสหรัฐฯยังคงมีความแข็งแกร่งและใกล้เข้าสู่ระดับการจ้างงานเต็มที่ ซึ่งช่วยหนุนการเติบโตในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และเฟดควรขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้นโยบายการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
นางโลเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ (มีสิทธิออกเสียง) กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบัน ประกอบด้วย ข้อมูลการจ้างงานเดือนกันยายนที่มีการเปิดเผยในคืนวันศุกร์สอดคล้องกับการพิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ยังมีแนวโน้ม "แข็งแกร่ง" พร้อมกันนี้ยังระบุว่าเฟดควรจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส (มีสิทธิออกเสียง) กล่าวว่า ข้อมูลภาคแรงงานในเดือนกันยายนนั้นยังเป็นปัจจัยสนับสนุน และสภาพเศรษฐกิจใกล้เข้าสู่ระดับการจ้างงานเต็มที่
ถ้อยแถลงประธานบีโอเจ
นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจ กล่าวในการประชุม G20 ว่า การบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวถือเป็นเรื่องที่ยาก การใช้นโยบายการคลังและการปฏิรูปโครงสร้างการเติบโตเองก็ควรจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดีบีโอเจก็พร้อมจะขยายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากจำเป็นเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อบรรลุเป้าหมายที่ระดับ 2%
ค่าเงินปอนด์
ด้านค่าเงินปอนด์คืนวันศุกร์ปรับตัวลงกว่า 1.4% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์และช่วงต้นนั้นร่วงลงไปกว่า 10% เพียงไม่กี่นาทีในลักษณะ "Flash Cash" จึงทำให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความผันผวนในตลาดค่าเงินและกระตุ้นให้เกิดความผันผวนไปทั่วตลาดต่างๆ ซึ่งถึงแม้ค่าเงินปอนด์จะร่วงลงอย่างหนัก แต่ดัชนีดอลลาร์ก็ปิดปรับตัวลงในระดับวัน อย่างไรก็ดี ภาพรวมสัปดาห์นี้ค่าเงินปอนด์ร่วงลงกว่า 4% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ และมีการลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปี
ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนประจำ Voya Investment Management ไม่คิดว่าค่าเงินปอนด์จะสร้างผลกระทบใดๆต่อผลประกอบการสหรัฐฯแต่ความผันผวนและการปรับตัวลงอย่างหนักที่เกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังถือเป็นเรื่องที่น่ากวนใจ
การดีเบตผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
สำหรับข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯล่าสุดนั้น จะมีการโต้วาทีครั้งที่ 2 ระหว่างผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันในวันนี้ 10 ต.ค. เวลา 08.00-09.30น. ตามเวลาประเทศไทย
ขณะที่รายงานผลสำรวจจากรอยเตอร์ส ระหว่าง 30 ก.ย. - 6 ต.ค. พบว่า ตัวแทนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำคู่แข่งอย่างพรรครีพับลิกันเพียง 5% เท่านั้น โดย นางฮิลลารี คลินตัน มีคนโหวตให้การสนับสนุน 43% ขณะที่ นายโดนัล ทรัมป์ มีเสียงสนับสนุน 38%
อย่างไรก็ดีสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกัน จะเผชิญกับความยากลำบากเนื่องจากเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา มีการเผยคลิปวิดีโอในปี 2005 โดนสำนักข่าว The Washington Post ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความคิดเห็นที่หยาบคายต่อผู้หญิง
น้ำมันดิบ
น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 1.1% ที่ระดับ 51.93 เหรียญ/บาร์เรล ในคืนวันศุกร์ เนื่องจากเหล่านักลงทุนเทขายทำกำไร โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นกว่า 15% ทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 4 เดือนจากความหวังที่ว่าโอเปกจะมีการควบคุมการผลิตน้ำมันดิบ