เฟดคงดอกเบี้ยไว้ตามเดิมด้วยคะแนน 8 ต่อ 2 เสียง
การประชุมเฟดในวันที่ 1-2 พ.ย. ที่ผ่านมา เฟดตัดสินใจยังคงดอกเบี้ยไว้ตามเดิมที่ระดับ 0.25% – 0.50% และเป็นไปตามคาด เฟดส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น โดยระบุว่า เฟดมีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ขยายตัว พร้อมกันนี้เฟดได้ระบุถึงตลาดแรงงานว่ายังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งช่วยเพิ่มคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. นี้
โดยสรุปการประชุม ระบุว่า “ที่ประชุมเห็นว่าเงื่อนไขในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเฟดยังตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมอีกซักระยะเพื่อรอหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเติบโตไปสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%”
เฟดตัดสินใจคงดอกเบี้ยด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 2 เสียง โดยเสียงที่ต้องการให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้แก่ นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส และนางโลเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ น้อยกว่าการประชุมครั้งก่อนที่โหวตคงดอกเบี้ยด้วยคะแนน 7 ต่อ 3 เสียง โดยในครั้งนี้ นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตัน ได้ย้ายกลับมาอยู่ฝั่งคงอัตราดอกเบี้ย
ข้อมูลการจ้างงานโดย ADP ออกมาแย่กว่าคาด
ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ออกมาที่ระดับ 147,000 ตำแหน่ง ลดลงจากเดิมและน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และนับเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 เดือน อย่างไรก็ดี ADP ได้ปรับปรุงข้อมูลเดิมในเดือน ก.ย. จากระดับเดิมที่ 154,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 202,000 ตำแหน่ง
นักวิเคราะห์จาก Moody's Analytics ระบุว่า การเติบโตของตำแหน่งงานในภาคเอกชนยังคงแข็งแกร่ง ถึงแม้ข้อมูลจะบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงบ้างก็ตาม โดยระบุว่า การชะลอตัวลงนั้นเกิดจากการที่ภาคธุรกิจไม่สามารถหาคนที่ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจได้ ส่วนภาคส่วนที่ยังคงมีความอ่อนแออยู่บ้างได้แก่ การก่อสร้าง, การศึกษา และเหมืองแร่
น้ำมันดิบ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวลดลง 2.9% สู่ระดับ 45.34 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้นถึง 14.4 ล้านบาร์เรล