• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 07 ธันวาคม 2559

    7 ธันวาคม 2559 | Economic News


ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ก่อนทราบผลการประชุมของอีซีบีในวันพรุ่งนี้ โดยค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงมาเล็กน้อย 0.4% แถวระดับ 1.072 ดอลลาร์/ยูโร โดยกลุ่มนักลงทุนจับตาความเป็นไปได้ที่อีซีบีอาจกลับมาดำเนินมาตรการคุมเข้มทางการเงิน ขณะที่มีกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าอีซีบีจะขยายการเข้าซื้อพันธบัตร

ด้านค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.4% หลังจากที่ลงไปใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักเมื่อวานนี้ โดยเช้านี้ดัชนีดอลลาร์เคลื่อนไหวแถวระดับ 100.53 จุด

ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯเมื่อคืนนี้ยังคงออกมาผสมผสานกันไป โดยข้อมูลยอดดุลการค้าประจำเดือนตุลาคม ออกมาแย่ลงเกินคาด โดยมียอดขาดดุลเพิ่มขึ้นที่ระดับ -4.26 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเป็นยอดขาดดุลที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 6.4 พันล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็น 17.8% และถือเป็นยอดขาดดุลที่มากทีสุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง นับตั้งแต่มีนาคม 2015 เนื่องจากยอดส่งออกถั่วเหลืองและสินค้าอื่นๆปรับตัวลดลง ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยอดดุลการค้าอาจฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 4 ได้

ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานสหรัฐฯออกมาดีขึ้นเกินคาดแตะระดับ 2.7% ในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปีครึ่ง นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2015 และนับเป็นการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 จึงเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังคงมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากที่อยู่ในภาวะชะลอตัวมาอย่างยาวนาน

รายงานจาก CNBC ระบุว่า เจ้าหน้าที่เจรจาประเด็น Brexit ของอียูกำหนดระยะเวลาเจรจาหาข้อตกลงกับทางอังกฤษภายใน 18 เดือน โดยคาดว่าทุกกระบวนการของข้อตกลงต้องแล้วเสร็จในเดือนมีนาคมปี 2019 ขณะที่เงื่อนไขของข้อตกลงอาจจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขภายในตุลาคมปี 2018 และทางอังกฤษจะร่างข้อตกลง 50 ข้อให้แล้วเสร็จในช่วงมีนาคมปีหน้า

รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของอิตาลี ระบุว่า อาจมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า หลังจากที่ นายมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลีประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังผลการลงประชามติออกมาไม่รับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี นาย เซอร์กิโอ แมททาเรลลา ประธานาธิบดีอิตาลี กล่าวว่า เขายังคงต้องดำรงตำแหน่งจนกว่ารัฐสภาจะอนุมัติงบประมาณปี 2017 ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ จากนั้น นายเรนซี จึงจะยื่นเรื่องลาออกได้

ผลสำรวจจากรอยเตอร์ส แสดงให้เห็นว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของญี่ปุ่นประจำเดือนธันวาคม ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือน ขณะที่ภาคบริการปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน สำหรับค่าเงินเยนที่อ่อนค่าขึ้นเป็นปัจจัยที่หนุนกลุ่มผู้ส่งออก

ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวลง 86 เซนต์ ที่ระดับ 50.93 เหรียญ ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดลดลง 1.01 เหรียญ ที่ระดับ 53.93 เหรียญ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกหลังจากที่ปรับตัวขึ้นกว่า 15% นับตั้งแต่ที่กลุ่มโอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตได้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เนื่องจากข้อมูลการผลิตของกลุ่มโอเปกยังอยู่ในระดับสูง จึงสร้างความไม่แน่ใจว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสามารถลดอุปทานได้หรือไม่

ทั้งนี้ ผลสำรวจจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกยังคงอยู่ในระดับสูงในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 34.19 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 33.82 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนตุลาคม

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com