ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯในคืนวันศุกร์ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นประจำเดือนธันวาคมออกมาดีขึ้นเกินคาดแตะระดับ 98.0 และถือเป็นครั้งแรกในที่มีระดับการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 11 เดือน นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ เพราะได้รับแรงหนุนจากการที่ นายทรัมป์ ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง จึงส่งผลให้ภาพรวมสถานการณ์ทางการเงินที่สดใสที่สุดในรอบ 11 ปี
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน หลังจากที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 10 เดือนวานนี้ จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดีค่าเงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหวกรอบแคบในลักษณะ Wait-and-See ก่อนทราบผลประชุมเฟด
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นแตะระดับ 2.528% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 29 กันยายนปี 2014 ก่อนจะย่อตัวลงมาบริเวณ 2.460% ในเช้าวันนี้
ซึ่งผลจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นหนุนให้ค่าดอลลาร์แข็งค่าขึ้นไปบริเวณ 116.120 เยน/ดอลลาร์เมื่อวานนี้ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่เช้านี้จะย่อลงมาประมาณ 0.2% ที่ระดับ 114.83 เยน/ดอลลาร์
JP Morgan ระบุว่า นโยบายการปรับลดภาษีของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลให้การลงทุนในภาคธนาคารสหรัฐฯมีแนวโน้มที่ผลกำไรจะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่ายุโรปในช่วงปี 2017
รายงานจาก CBRE ระบุว่า การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษระหว่างปี 2016 ปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 และบ่งชี้ถึงภาวะซบเซาที่ยังคงมีอยู่ในปีนี้ จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและภาวะ Brexit ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชะลอตัว ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ อันได้แก่ ความผันผวนในตลาดการเงินของจีนและกระแสเงินที่ลดลงทั่วโลก
ทั้งนี้ CBRE คาดการณ์ว่า ภาคการลงทุนในอังกฤษปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 4.9 หมื่นล้านปอนด์ (6.19 หมื่นล้านเหรียญฯ) หรือคิดเป็นการปรับตัวลดลง 30% นับตั้งแต่ช่วงสิ้นปีที่แล้วที่มีมูลค่าการลงทุนที่ระดับ 6.9 หมื่นล้านปอนด์
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวขึ้น 1.33 เหรียญ หรือคิดเป็น +2.6% ที่ระดับ 52.83 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2015 บริเวณ 54.51 เหรียญในช่วงต้นตลาดเมื่อคืนนี้
ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิด +2.5% ที่ระดับ 55.66 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2015 เช่นกันที่ระดับ 57.89 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี CNBC รายงานว่า ภาพรวมราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแล้วกว่า 6.5% เมื่อวานนี้ โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 18 เดือน หลังโอเปกและประเทศนอกโอเปกบางส่วนสามารถบรรลุข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตร่วมกันได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2001 เพื่อลดภาวะอุปทานล้นตลาดโลก
ทั้งนี้ ผลการประชุมในวันเสาร์ที่ผ่านมา รัสเซียเห็นพ้องที่จะลดกำลังการผลิตลง 558,000 ล้านบาร์เรล/วัน โดยน้อยกว่าระดับเป้าหมาย 600,000 บาร์เรล/วัน แต่ก็ถือเป็นการปรับลดจำนวนมากของกลุ่มประเทศนอกโอเปกนับตั้งแต่เคยมีมา