• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 15 ธันวาคม 2559

    15 ธันวาคม 2559 | Economic News



สรุปประชุมเฟด


เฟดมีมติเอกฉันท์ 10:0 ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 0.50-0.75% ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 หลังจากที่เกิดวิกฤตทางการเงินนับตั้งแต่ปี 2018 พร้อมกันนี้เฟดมีท่าทีคุมเข้มทางการเงินมากขึ้นในปี 2017 โดยการที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนระดับต่ำจะถือเป็นการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่านการกู้ยืมและการกล้าที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่คาดการณ์ “Dot Plot” ของเฟด แสงดให้เห็นว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวน 3 ครั้งในปี 2017 เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาที่ระบุโอกาสอาจเกิดขึ้น 2 ครั้ง

พร้อมกันนี้มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวน 3 ครั้ง ทั้งในปี 2018 และปี 2019 ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะกลับสู่ภาวะปกติ 3% ซึ่งถือเป็นการปรับทบทวนประมาณการณ์เพิ่มขึ้นจากช่วง 3 เดือนก่อน

นอกจากนี้ ประธานเฟดยังคงย้ำว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงมีการขยายตัวด้วยดี ขณะที่ให้สัญญาณเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเฟดพร้อมที่จะปรับนโยบายต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่เฟดยังคงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

สำหรับระดับอัตราดอกเบี้ย เจ้าหน้าที่เฟดปรับเพิ่มระดับอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้าง โดยคาดว่าระดับอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงสิ้นปี 2018 จะอยู่บริเวณ 2.1% (คาดการณ์เดือนกันยายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.9%) ซึ่งเฟดจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็แสดงความคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะปรับขึ้นแถว 3.3% ในช่วงสิ้นปี 2018

เฟดอธิบายถึงการดำเนินนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปว่าจะเป็นการผ่อนคลายและช่วยหนุนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการว่างงานในปีหน้าจะปรับตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.5% จากระดับ 4.6% ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และคาดว่าเงินเฟ้อจะสามารถบรรลุเป้าหมาย 2% ได้ ขณะที่สภาพเศรษฐกิจในปี 2017 คาดขยายตัวได้ 2.1% โดยปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ก่อนหน้า 2.0%

ทั้งนี้ถ้อยแถลงของเฟดหลังเสร็จสิ้นการประชุม ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 5 ปี ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯดิ่งลงเล็กน้อย ด้านค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น และราคาทองคำทำจุดต่ำสุดในรอบกว่า 10 เดือน ควบคู่กับการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ



ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมบริเวณ 102.42 จุดในตลาดเอเชียเช้านี้ ขณะที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าแตะ 117.69 เยน/ดอลลาร์

ผลการประกาศข้อมูลยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯยังคงบ่งชี้ถึงภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยยอดค้าปลีกประจำเดือนพฤศจิกายออกมาแย่กว่าคาดที่ระดับ 0.1% ขณะที่เดือนก่อนหน้ามีการปรับทบทวนลงสู่ 0.6% ด้านผลผลิตภาคอุตสาหกรรมร่วงลงมากที่สุดในรอบ 8 เดือน แตะระดับ -0.4%

น้ำมันดิบ WTI ปิด -3.7% ที่ระดับ 51.04 เหรียญ/บาร์เรล และน้ำมันดิบ Brent ปิด –3% ที่ระดับ 54.04 เหรียญ/บาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลดลงเกือบ 4% จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันดิบล้นตลาดที่กลับมาอีกครั้ง หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวขึ้นในรัฐคุชชิ่ง และโอกลาโฮมา และการที่กลุ่มโอเปกส่งสัญญาณว่าภาวะอุปทานจะปรับตัวขึ้นในปีหน้าแม้ว่าจะมีข้อตกลงเรื่องการปรับลดกำลังการผลิตก็ตาม นอกจากนี้ตลาดยังปรับตัวลงต่อจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์หลังเฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com