ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทำจุดสุดในรอบ 14 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ เพราะได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์จำนวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2017 โดยค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าได้นานนับเดือน เพราะได้รับแรงหนุนจากทรัมป์ ประกอบกับการปรับอ่อนค่าลงของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่
โดยดัชนีดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาและปรับตัวสูงขึ้น 0.5% ที่ระดับ 102.270 จุด หลังแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2003 ที่ระดับ 102.62 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.2% ที่ระดับ 1.0512 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ร่วงลงไปทำจุดอ่อนค่ามากทีสุดในรอบ 21 เดือน บริเวณ 1.0468 ดอลลาร์/ยูโร
รายงานจากสำนักข่าว CNBC เผยว่า นอกเหนือจากการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยที่ได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว เฟดยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า อาจมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2017 และอีก 2-3 ครั้งในปี 2018 ขณะที่ในปี 2019 อาจเกิดขึ้นได้ 3 ครั้ง
ทั้งนี้เฟดได้เปลี่ยนยอดเป้าหมายของ GDP ปีนี้จากเดิมที่ระดับ 1.8% เป็น 1.9% ส่วนปี 2017 จากเดิม 2.0% เป็น 2.1% อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2018 เป้าหมายยังคงเป็นที่ 2.0% และปี 2019 เพิ่มขึ้นจาก 1.8% เป็น 1.9% ส่วนในภาพรวมระยะยามของ GDP ยังคงเป็น 1.8%
ในส่วนของเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อปี 2016 มีการเลี่ยนแปลงเล็กน้อยจาก 1.8% เป็น 1.9% เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในส่วนของภาพรวมระยะยาวยังคงอยู่ที่ 2.0%
ราคาน้ำมันดิบมีเสถียรภาพมากขึ้นจากความตึงตัวของตลาดที่จะปรากฏให้เห็นในปี 2017 จากแผนการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและรัสเซีย หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในช่วงต้นตลาดจากการที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงส่งผลให้นักลงทุนก้าวออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงจากระดับปิดก่อนหน้า 9 เซนต์ สู่ระดับ 50.95 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบBrent ปรับตัวสูงขึ้น 3 เซนต์ สู่ระดับ 53.93 เหรียญ/บาร์เรล