ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในตลาดเอเชียเนื่องจากนักลงทุนบางส่วนเทขายทำกำไรหลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยทำจุดสูงสุดในรอบ 14 ปี จากการเฟดประกาศคาดการณ์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลดลง 0.2% สู่ระดับ 102.720 จุด หลังจากที่แข็งค่าทำจุดสูงสุดที่ระดับ 103.560 จุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ธนาคารคาดว่ามีโอกาส 65% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบียหนึ่งครั้งในเดือนธ.ค.และมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ยสองครั้งในปี 2017
จากรายงานของ China Academy of Social Sciences (CASS) ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจีนจะเติบโตขึ้นเฉลี่ย 6.5% ในปี 2017 โดยในช่วงไตรมาสที่ 1-2 จะเติบโตขึ้น 6.5% และ 6.4% ในไตรมาสที่ 3
ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยจีนชะลอลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองหลักของจีนเริ่มปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม เนื่องจากมีภาคอุปสงค์ถูกกดดันจากนโยบายจำกัดราคาของรัฐบาล
ด้านราคาน้ำมันปรับขึ้นวันนี้ จากคาดการณ์เกี่ยวกับปริมาณน้ำมันดิบที่จะมีความตึงตัวมากขึ้นในปี 2017 โดยได้รับอานิสงค์หลักจากการตัดสินปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและกลุ่มประเทศนอกโอเปก
จากการวิเคราะห์โดยธนาคาร ANZ ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบจะได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก รวมถึงการอ่อนค่าในบางช่วงของค่าเงินดอลลาร์ จึงถือเป็นปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุน
ขณะที่ นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ทางเทคนิค Reuters พบว่า ภาพรวมทางเทคนิคของสัญญาน้ำมันดิบ Brent และ WTIเป็นทิศทางขาขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบ Brent จะมีแนวต้านถัดไปที่ระดับ 55.79 เหรียญ/บาร์เรล และ 57.57 เหรียญ/บาร์เรลตามลำดับ ขณะที่
น้ำมันดิบ WTI จะมีแนวต้านถัดไปบริเวณ 52.74 เหรียญ/บาร์เรล และ 53.36 เหรียญ/บาร์เรลตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยที่จำกัดการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน อันได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมกับนโยบายของโอเปก ได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิตจาก 8.5 ล้านบาร์เรลในเดือนกรกฎาคม สู่ระดับ 8.8 ล้านบาร์เรลในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 7 สัปดาห์
ทั้งนี้ เหล่าเทรดเดอร์ กล่าวว่า ปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมันขาลง ณ ขณะนี้ มาจากการที่ตลาดเตรียมตัวรับเทศกาลคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา