• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 18 มกราคม 2560

    18 มกราคม 2560 | Economic News




 
 

• สรุปถ้อยแถลงของ นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ระบุว่า การออกจากอียูจะทำให้อังกฤษแข็งแกร่งและได้รับความเป็นธรรมมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งการออกจากอียูเพื่อให้อังกฤษประสบความสำเร็จไม่ใช่การได้รับอิสระ ซึ่งอังกฤษจะยังจ่ายเงินสนับสนุนให้แก่ทางอียูต่อเนื่องแต่น้อยกว่าจำนวนเดิมก่อนออกจากอียู

สำหรับข้อตกลงขั้นตอนสุดท้ายของกรณี Brexit ทางสมาชิกรัฐสภาจะเป็นผู้โหวตพิจารณาข้อตกลงดังกล่าว

ทั้งนี้ นางเมย์ เผย 12 แผนเจรจา ประกอบด้วย การจำกัดการอพยพ, การออกจากศาลสหภาพยุโรป และการสิ้นสุดการเป็นสมาชิกอย่างเต็มรูปแบบในสหภาพยุโรป รวมทั้งการควบคุมภาษีสินค้านำเข้าภายนอก ซึ่งนางเมย์เสนอข้อตกลงที่ยืดหยุ่นในช่วงการเปลี่ยนผ่านสำหรับกรณี Brexit และคาดว่าความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างอังกฤษกับอียูจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ภายใน 2 ปี

อย่างไรก็ดี นางเมย์ ยืนยันจะออกจาก Single Market โดยให้เหตุผลว่า อังกฤษเลือกจะยอมออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงการค้ามากกว่าจะยอมรับข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรม

• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความพอใจต่อการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์มากกว่า เนื่องจากการแข็งค่ามากเกินไปอาจเป็นอุปสรรคในการแข่งขันทางการค้า โดยดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงมา 1.1% ที่ระดับ 91.16 จุด ก่อนที่เช้านี้จะปรับตัวขึ้นได้บริเวณ 100.49 จุด

ขณะที่ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบวันบริเวณ 1.2378 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.2090 ดอลลาร์/ปอนด์ หรือปรับตัวขึ้นประมาณ 2.7% หลังจากที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวว่าการออกจากอียูต้องผ่านมติจากรัฐสภาก่อน และแสดงความคิดเห็นที่ว่าระหว่างอังกฤษและอียูจะเป็นเสมือนหุ้นส่วนที่ไว้ใจกันได้ รวมทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นดังเพื่อนสนิท ซึ่งสมาชิกอียูอื่นๆแสดงความคิดเห็นว่า ท่าทีดังกล่าวของนางเมย์ แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะได้รับข้อตกลงทางการค้าที่อิสระเสรีก็เป็นได้

• นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก เรียกร้องให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากภาวะการขยายตัวที่ร้อนแรงและภาวะชะลอตัว

ทั้งนี้ นายวิลเลียม ระบุว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปดูเหมือนว่าจะเหมาะสมกับการปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราการว่างงานในปัจจุบันที่ระดับ 4.7% ท่ามกลางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่บรรลุเป้าหมายการจ้างงานเต็มกำลัง ขณะที่เงินเฟ้อจะบรรลุเป้าหมาย 2% ได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า

• รายงานจากสหประชาชาติ (U.N.) คาดว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.7% และขยายตัวได้ 2.9% ในปีนี้ จากระดับ 2.2% ในปี 2016 พร้อมระบุว่า กรณี Brexit และนโยบายภาษีของนายทรัมป์ อาจก่อให้เกิดผลที่ตรงกันข้ามได้ เนื่องจากการที่อังกฤษออกจากอียู จะส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวสู่ระดับ 1.1% ในปีนี้ และ 1.3% ในปีหน้า จากประมาณการณ์ในปี 2016 ที่ระดับ 2.0%

กรณีการปฏิรูปภาษีของนายทรัมป์เพื่อปกป้องผู้ผลิตสหรัฐฯอาจส่งผลขนาดใหญ่ต่อระบบพหุภาคีและWTO

• ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวขึ้น 11 เซนต์ หรือคิดเป็น +0.2% ที่ระดับ 52.48 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brentปิดปรับตัวลง 39 เซนต์ หรือคิดเป็น -0.7% ที่ระดับ 55.47 เหรียญ/บาร์เรล

ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ และรายงานที่ว่าซาอุดิอาระเบียจะปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับลดกำลังการผลิตของโอเปก ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มผู้ผลิตของสหรัฐฯและรัสเซียจะเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบในช่วงปลายปีนี้

• นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน กล่าวในที่ประชุม World Economic Forum โดยระบุว่า ความไม่เท่าเทียมกันในเศรษฐกิจโลก ถือเป็นปัจจัยที่สร้างความวิตกกังวล ขณะที่มาตรการกีดกันทางการค้าอาจไม่ใช่การดำเนินการที่ถูกที่ควร เนื่องจากการทำสงครามการค้า ในท้ายที่สุดแล้วจะไม่มีผู้ใดได้รับชัยชนะ


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com