• นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงการค้า TPP อย่างเป็นทางการวานนี้ จึงยิ่งถือเป็นการสร้างระยะห่างมากขึ้นกับชาติพันธมิตรอย่างเอเชีย ท่ามกลางผลกระทบของจีนที่จะส่งผลมากขึ้นต่อประเทศในแถบภูมิภาค
การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่นายทรัมป์เคยให้ไว้ในช่วงหาเสียง เพื่อให้อเมริกาสิ้นสุดความสำคัญของข้อตกลงที่เกิดขึ้นในปี 2015 โดยนายทรัมป์เริ่มต้นสั่งการให้ทำเนียบขาวถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงระหว่าง 12 ประเทศ หรือข้อตกลงการค้า TPP
อย่างไรก็ดี ข้อตกลง TPP ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากภาคธุรกิจของสหรัฐฯ ที่ได้เจรจาร่วมกับ นายบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ยังไม่ได้เคยได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรส โดยกรอบเงื่อนไขของนายโอบามาที่ได้ตกลงร่วมกัน รวมไปถึงจีน มีขึ้นเพื่อสร้างข้อกำหนดการค้าแก่เอเชีย และให้สหรัฐฯเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาค หรือเปรียบเสมือนศูนย์กลางของเอเชีย
• ศาลฎีกาอังกฤษจะมีการตัดสินภายในช่วงบ่ายวันนี้ว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะสามารถประกาศใช้มาตรา 50 ได้หรือไม่ จากกรณีที่นางเมย์ วางแผนที่จะบังคับใช้มาตรา 50 ภายในช่วงปลายเดือนมีนาคมปีนี้
ทั้งนี้ ศาลฎีกาอังกฤษมีแนวโน้มจะตัดสินให้นายกรัฐมนตรีฯ สามารถขอความเห็นคล้องจากทั้งรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกสภานิติบัญญัติมีส่วนในการออกคิดเห็นมากขึ้นเพื่อสนับสนุนกรณี Brexit โดยกลุ่มนักลงทุนกำลังจับตามายังประเด็นดังกล่าว เนื่องจากหากมีนโยบายใดสนับสนุนเศรษฐกิจร่วมด้วย จะช่วยหนุนให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่ากลับขึ้นมาได้อย่างมาก หลังจากที่มีการปรับอ่อนค่าลงจากความกังวลในกรณีของ Brexit
• ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ รวมถึงการปรับลดการผลิตของกลุ่มโอเปกและผู้ผลิตอื่นๆในตลาด อย่างไรก็ดียังคงได้รับแรงกดดันจากปริมาณแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบสหรัฐฯ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 38 เซนต์ สู่ระดับ 55.61 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 37 เซนต์ สู่ระดับ 53.12 เหรียญ/บาร์เรล