• ดัชนีดาวโจนส์ปิด -1.14% ที่ระดับ 20,668.01 จุด ขณะที่ดัชนี S&P ปิด -1.24% และดัชนี Nasdaq ปิด -1.83% โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวลดลงจากการที่กลุ่มนักลงทุนวิตกกังวลว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะชะลอการปรับลดภาษีตามที่ได้ให้สัญญาไว้ จึงทำให้ตลาดร่วงลงจากที่ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการลงมตินโยบายสุขภาพของนายทรัมป์
ทั้งนี้ พรรครีพับลิกันจะนำร่างกฎหมายสุขภาพฉบับใหม่เข้าสู่สภาฯในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีนี้ แต่พวกเขาอาจสูญเสียคะแนนเสียงที่จะลงมติเห็นด้วยจากภายในพรรครีพับลิกันประมาณ 20 เสียง หรือเสี่ยงที่ร่างกฎหมายดังกล่าวจะล้มเหลว นับตั้งแต่ที่พรรคเดโมแครตมีเสียงส่วนน้อยในสภาฯ
นอกจากนี้ หุ้นภาคธนาคารต่างๆของสหรัฐฯปรับตัวลดลงอย่างมากจากความกังวลที่ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้เกี่ยวกับเรื่องภาษีและกฎระเบียบต่างๆ โดยหุ้น Bank of America Corp ปรับลง -5.8% จึงเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งให้เกิดแรงเทขายทำกำไรกว่า 3.9% ในดัชนี S&P500 ขณะที่ JPMorgan Chase & Co ร่วงลงกว่า 3% ขณะที่ Key Corp ร่วงลงอย่างหนักกว่า 6.5%
เหล่านักลงทุนวิตกกังวลว่า หากคณะบริหารของนายทรัมป์ไม่สามารถผลักดันให้ผ่านร่างกฎหมายสุขภาพได้ในสัปดาห์นี้ ก็อาจเป็นการยากที่นายทรัมป์ จะดำเนินการตามที่ได้ให้สัญญาไว้เกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีและกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งคำสัญญาดังกล่าวถือเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อหุ้นกลุ่มธนาคารให้ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2007 หรือตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตทางการเงิน
• ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงตามการทรุดตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากความไม่มั่นใจต่อแผนการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของนายทรัมป์ จึงหนุนให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ รวมทั้งพันธบัตรรัฐบาล โดยดัชนีMSCI ที่ไม่รวมตลาดญี่ปุ่นปรับตัวลง 0.5% ในเช้าวันนี้ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2015 ในวาระการซื้อขายก่อนหน้า ขณะที่ดัชนี Nikkei 225 และดัชนีออสเตรเลียเปิดร่วงลง -0.5% ในเช้านี้เช่นกัน
• นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.67 – 34.80 บาท/ดอลลาร์ โดยแกว่งตัวในกรอบกว้าง หลังจากที่เมื่อวานนี้แบงก์ชาติน่าจะเข้ามาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไป