• ค่าเงินสกุลหลักส่วนใหญ๋ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยรอคอยรายงานประชุมเฟดประจำเดือนมีนาคมที่จะเปิดเผยในวันนี้ว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ก่อนทราบข้อมูลการจ้างงานสำคัญของสหรัฐฯในคืนวันศุกร์
โดยค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.1% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน แตะระดับ 110.82 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ระดับ 100.49 จุด และค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.06810 ดอลลาร์/ยูโร
• ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ พบว่า ยอดดุลการค้าสหรัฐฯประจำเดือนมีนาคมปรับตัวลดลง หลังจากที่ข้อมูลในเดือนก่อนหน้าขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ท่ามกลางการชะลอตัวของปริมาณความต้องการภายในประเทศที่กดดันต่อภาคการส่งออก ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกได้ช่วยหนุนการส่งออกสินค้าของสหรัฐฯ
• กระทรวงพาณิชย์เผย ยอดดุลการค้าสหรัฐฯมียอดขาดดุลลดลงถึง 9.6% ที่ระดับ 4.36 หมื่นล้านเหรียญ ท่ามกลางยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี
• เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศจะกระตุ้นให้เกิดการอนุมัตินโยบายปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานจากสภาคองเกรสโดยเร็วที่สุด ซึ่งแผนดังกล่าวมีงบประมาณกว่า 1 ล้านล้านเหรียญฯ เพื่อยกระดับถนน อุโมงค์ และสะพานในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาที่เขาเคยให้ในช่วงหาเสียง
ทั้งนี้ นายทรัมป์ต้องการให้โครงการดังกล่าวเริ่มต้นได้ภายใน 90 วัน จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 10-20 ปี ในการให้อนุมัติโครงการประเภทดังกล่าว
นอกจากนี้ นายทรัมป์ ยังเปิดเผยว่า ทีมบริหารของเขากำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบข้อบังคับตามกฎหมายดอดด์-แฟรงก์ (Dodd-Frank) ซึ่งจะทำให้ภาคธนาคารดำเนินการปล่อยเงินกู้ได้ง่ายขึ้น
• นายเจฟฟรี แล็คเกอร์ ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่าคำสนทนาของเขาต่อนักวิเคราะห์รายหนึ่งของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในปี 2012 อาจเป็นการเปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับทางเลือกในการใช้นโยบายของเฟด
• ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับตัวขึ้น 79 เซนต์ ที่ระดับ 51.03 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับตัวขึ้น 1.05 เหรียญ หรือคิดเป็น 2% ที่ระดับ 54.17 เหรียญ/บาร์เรล และถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคมทั้งคู่ ซึ่งการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ได้ จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯจะปรับตัวลดลง และข่าวการปิดโรงงานน้ำมันทางทะเลเหนือ