กระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการยื่นเสนอแผนปรับลดภาษีของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังสร้างแรงกดดันให้แก่กลุ่มโลหะมีค่าและโลหะเพื่อการอุตสาหกรรม
อันจะเห็นได้ว่าสัญญาทองคำ หรือ “Gold Futures” ในช่วง 2 วันทำการปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบ 7 สัปดาห์ ท่ามกลางมุมมมองเชิงบวกต่อแผนการปรับลดภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯสู่ระดับ 15% จากระดับ 35% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนผลประกอบการของภาคบริษัทได้ และช่วยหนุนแนวโน้มเศรษฐกิจและปริมาณการใช้โละหกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้ในบริษัทไอโฟน ผู้ผลิตตู้เย็น และระบบไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเห็นได้จากเส้นความสัมพันธ์ผกผันระยะ 120 วันระหว่างทองคำและทองแดงที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003 (ตามกราฟด้านล่าง)
ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในปีนี้ โดยได้รับอานิสงค์ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของนายทรัมป์ และความตึงเครียดระหว่างประเทศสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป
ขณะที่การที่ทีมบริหารของนายทรัมป์ที่กำลังเตรียมเผยรายละเอียดของแผนภาษีดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท Goldman Sachs คาดว่าราคาทองคำจะถูกเทขายอย่างต่อเนื่องในระยะสัน ขณะที่อัตราผลตอบแนและแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯและทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น
ผู้อำนวยการสินค้าโภคภัณฑ์ประจำ BMO Capital Markets กล่าวว่า รายงานที่ว่า นายทรัมป์จะทำการปรับลดภาษีนิติบุคลมากกว่าคาดได้ช่วยหนุนให้ราคาดัชนีหุ้นในสหรัฐฯปรับตัวขึ้น รวมทั้งอาจช่วยหนุนราคาทองแดงด้วย
นักวิเคราะห์ Amalgamate Metal Trading กล่าวว่า ปริมาณความต้องการในกลุ่มโลหะอุตสาหกรรมอาจส่งผลต่อราคาทองแดงในระยะสั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าปริมาณอุปทานในตอนนี้ และเมื่อวัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เชื่อว่าราคาของทองแดงน่าจะได้อานิสงค์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจได้
ที่มา: Bloomberg