• ราคาทองคำรีบาวน์กลับมาปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่เผชิญแรงเทขายเข้ากดดันให้ลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ขณะที่ตลาดมีแรงหนุนจากการทำ Short Covering ของนักลงทุนบางส่วน โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิถุนายนปิด +0.1% ที่ระดับ 1,265.9 เหรียญ
• รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า ราคาทองคำดีดกลับได้จากระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ หลังจากที่ทราบแผนการปรับลดภาษีของนายทรัมป์เพื่อหนุนผลประกอบการของภาคบริษัท
• ภาพรวมสัปดาห์นี้ราคาทองคำปรับตัวลดลงมาแล้ว 1.5% จากระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนบริเวณ 1,295.42 เหรียญ ที่ขึ้นไปได้เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา
• กองทุน SPDR ขายทอง 0.89 ตัน โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 853.36 ตัน
• หัวหน้านักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์จาก Saxo Bank กล่าวว่า ตลาดทองคำกำลังรอความชัดเจนของทิศทาง หลังจากปัจจัยหลายๆอย่างที่ช่วยหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้นนั้นเริ่มเจือจางลงไป ขณะที่จะเห็นได้ถึงการฟื้นตัวของตลาดหุ้นและการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ประกอบกับตลาดปราศจากความตึงเครียดในเกาหลีเหนือ
• นักวิเคราะห์จาก MKS PAMP วิเคราะห์ว่า แนวรับทางเทคนิคของทองคำจะอยู่บริเวณ 1,257เหรียญ ซึ่งเป็นเส้นแรกของFibonacci Retracement หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยระดับราย 200 วันอยู่ที่ระดับ 1,252.5 เหรียญ
• ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากปริมาณความต้องการทองคำ โดยข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการนำเข้าทองคำสวิสฯสู่ฮ่องกง จีน และอินเดียปรับตัวขึ้นในเดือนมีนาคม ขณะที่ปริมาณการผลิตทองคำของจีนในช่วงไตรมาสแรกปรับตัวลดลง
• นักวิเคราะห์จากมิทซูบิชิ ระบุว่า ปริมาณการอุปโภคบริโภคทองคำของจีนและอินเดียจะปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 จึงมีโอกาสจะเห็นราคาทองคำนั้นปรับตัวลดลงได้ ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหรือมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนภาษีของนายทรัมป์ อาจทำให้นักลงทุนเคลื่อนย้ายเม็ดเงินออกจากทองคำ
• นักวิเคราะห์จากคิทโก คาดว่า ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,262.3 เหรียญ และ 1,250 เหรียญตามลำดับ ขณะที่แนวต้านจะอยู่ที่ระดับ 1,275 เหรียญ และ 1,280 เหรียญตามลำดับ
• สัญญาซิลเวอร์ส่งมอบเดือนพฤษภาคมปิด -0.8% ที่ระดับ 17.32 เหรียญ หลังจากที่ปรับตัวลงไปทำจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ 17 มีนาคมบริเวณ 17.21 เหรียญ
• เหล่าเทรดเดอร์และบรรดานักวิเคราะห์กำลังรอคอยข้อมูลเศรษฐกิจสำคญในคืนนี้ อันได้แก่ การประกาศประมาณการณ์จีดีพีสหรัฐฯขั้นต้นประจำไตรมาสแรก ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.0% จากไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว