บรรดานักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ทำการเทขายหุ้นและเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน ส่งผลให้ดัชนีต่างๆ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ปรับร่วงลงมาทำจุดต่ำในรอบ 6 เดือน ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังข่าวอื้อฉาวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับความทุจริตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้ถูกรายงานออกไปจนเกิดกระแสความไม่ไว้วางใจในตัวนายทรัมป์
ข่าวอื้อฉาวดังกล่าว คือเหตุการณ์ที่นายทรัมป์ได้สั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการ FBI แบบกระทันหัน โดยให้เหตุผลว่านายโคมีย์ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ตลาดทราบกันดีว่านายโคมีย์กำลังดำเนินการสืบสวนความสัมพันธ์ระหว่างนายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และรัฐบาลรัสเซีย ที่เกี่ยวโยงไปถึงข้อกล่าวหาในการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากรัสเซีย ส่งผลให้นายทรัมป์ได้รับชัยชนะไป
เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เจ้าหน้าที่ FBI ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ ได้ออกมาเผยว่าพบเมโมที่โต๊ะทำงานของนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI ที่ถูกสั่งปลดไป โดยเป็นเมโมจากนายทรัมป์เอง ซึ่งเนื้อหาสำคัญได้ระบุว่า ขอให้นายโคมีย์ หยุดดำเนินการสืบสวนความสัมพันธ์กับรัสเซีย จึงส่งผลให้บรรดานักลงทุน หรือแม้แต่สมาชิกรีพับลิกันเองเริ่มไม่ไว้วางใจในตัวนายทรัมป์
ความไม่ไว้วางใจดังกล่าวส่งผลให้เกิดแรงเทขายเข้ามาในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่านายทรัมป์อาจไม่สามารถดำเนินการนโยบายปฏิรูปภาษีที่ตลาดตั้งความหวังเอาไว้ได้ตามที่เคยให้สัญญาไว้
อย่างไรก็ดี นายพอล ไรอัน ได้ออกมากกล่าวว่า พรรครีพับลิกันจะดำเนินการผลักดันนโยบายปฏิรูปภาษีให้สำเร็จต่อไป ถึงแม้การดำเนินการอาจต้องชะลอตัวลงไปอย่างมากก็ตาม
ขณะที่นักลงทุนบางส่วนมองว่า ถึงแม้นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจได้ขึ้นมารับตำแหน่งแทนนายทรัมป์ที่สูญเสียอำนาจประธานาธิบดีไป ก็จะไม่เป็นผลด้านลบต่อตลาดสหรัฐฯไปมากกว่านี้
ที่มา: Reuters