• ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้น 46.09 จุด หรือคิดเป็น +0.22% ที่ระดับ 21,374.56 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิด -0.10% และดัชนี Nasdaq ปิด -0.41%
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงานถือเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดให้ดัชนี S&P500 และ ดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่คาดโดยฉพาะเงินเฟ้อ และความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ถึงแม้เฟดจะยังย้ำถึงภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯและความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน แต่นักลงทุนบางส่วนกลับกังวลว่า ท่าทีคุมเข้มทางการเงินของเฟดเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดให้ดัชนีในกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง
หุ้นกลุ่มการเงินดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีในปีนี้และดูจะมีแนวโน้มที่สดใสจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จึงทำให้ปิดปรับตัวขึ้นได้ 0.2% หลังจากที่ร่วงลงไปกว่า 1.3%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงกว่า 1.8% ตามการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ หลังข้อมูลสต็อกน้ำมันแก๊สโซลีนออกมาแย่กว่าคาด
• การร่วงลงของหุ้นสหรัฐฯฉุดให้ตลาดหุ้นเอเชียเปิดร่วงลงในเช้าวันนี้ หลังมีรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะถูกสอบสวนโดยอัยการคดีพิเศษจากกรณีการขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่า ปริมาณความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลงหลังจากที่ทราบข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ประกอบกับการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดตามคาด และการเปิดเผยรายละเอียดการปรับลดยอดงบดุลเป็นครั้งแรก
ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิด -0.1% ขณะที่ดัชนีนิกเกอิเปิด -0.4%
• รอยเตอร์ส ตลาดหุ้นเอเชียรอคอยว่า ธนาคารกลางจีนจะตัดสินใจดำเนินการตามแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดหรือไม่ ขณะที่บรรดาเหล่าเทรดเดอร์คาดว่าน่าจะดำเนินการแยกกันมากกว่า ด้านนักวิเคราะห์บางส่วน ระบุว่า ค่าเงินหยวนดูจะตอบรับได้ดีกับการดำเนินนโยบายบางส่วนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่สภาพคล่องในตลาดจีนนั้นมีการคุมเข้มมากขึ้น
• นักบริหารเงิน คาดวันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.00 บาท/ดอลลาร์ หลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ดอลลาร์สหรัฐก็จะปรับแข็งค่าขึ้น และทำให้บาทอาจจะอ่อนค่าลงได้บ้าง